ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช
1. คำและความหมาย
มีคำอยู่สามคำที่คล้ายคลึงกัน แต่มี่ความหมายต่างกันชัดเจน คือ คำว่า หลักเมือง คำว่า ศาลหลักเมือง และคำว่า ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ขอแสดงความเข้าใจและคิดเห็นดังนี้
- หลักเมือง หมายถึงนิมิตหมาย ว่าได้สร้างเมือง ณ ที่ตรงนั้น เมื่อวัน เดือน ปี เวลา นาที เท่านั้นเท่านี้
- ศาลหลักเมือง หมายถึงสิ่งก่อสร้าง เป็นอาคารสวยงาม กะทัดรัด มั่นคง เป็นเทวสถานที่สถิตของเจ้าพ่อตามข้อ 3
- ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง หมายถึงที่สิงสถิตของเทพเจ้าผู้มีมเหศักดิ์ ดูแลปกป้อง คุ้มครองบ้านเมืองและประชาชน
2. แบบอย่างการสร้างหลักเมือง
แบบอย่างการสร้างหลักเมืองที่ชัดเจนที่สุด คือ การสร้างหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ ณ วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.54 น. เรื่องราวที่บันทึกไว้เป็นดังนี้
"หลังจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จกรีธาทัพเหยียบพระนคร ได้เพียงสองวัน วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2325 ก็มีพระบรมราชโองการสั่งให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันตก ได้ทำพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เวลา 06.54 นาฬิกา พระราชวังใหม่ให้ตั้งในที่ซึ่งพระยาราชเศรษฐีและพวกจีนอยู่เดิม โดยโปรดให้ย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่สวนตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง แล้วจึงได้ฐาปนาสร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถาน ล้อมด้วยปราการระเนียดไม้ไว้ก่อน พอเป็นที่ประทับ"
จากข้อความข้างต้นมีเรื่องสำคัญอยู่ประการหนึ่งคือการยกเสาหลักเมือง ซึ่งถือว่าเป็นมิ่งขวัญสำคัญของเมือง แต่เสาหลักเมืองและดวงชาตาพระนคร ที่ปรากฏในปัจจุบัน มิใช่ของที่สถาปนาในรัชกาลที่ 1 เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับปรุงขึ้นใหม่ ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4 ว่า
"แลที่ศาลเจ้าหลักเมือง ศาลพระกาฬ ศาลพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และศาลเจ้าเจตคุปต์นั้น เดิมเป็นแต่หลังคาตังไม้มุงกระเบื้อง ทรงพระกรุณาโปรดให้ช่างก่อรอบ มียอดปรางค์อย่างศาลพระกาฬที่กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาเก่าทั้งสี่ศาลและหอกลางนั้นเดิมสองชั้นสามชั้น ขัดแตะถือปูนทำเป็นยอดเกี้ยว โปรดให้ทำใหม่ก่อผนังถือปูน แปลงเป็นยอดมณฑป... แล้วทรงพระราชดำริถึงหลักเมืองชำรุด ทำขึ้นใหม่ แล้วจะบรรจุดวงชาตาเสียใหม่ ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรมเก้าค่ำ (จุลศักราช 1214) พระฤกษ์จะได้บรรจุดวงพระชาตาพระนครลงด้วยแผ่นทองคำหนัก 1 บาท แผ่กว้าง 5 นิ้ว จารึกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ กรมหมื่นบวรรังษี กับพระสงฆ์ราชาคณะอีกสามรูป รวมห้ารูป เมื่อเวลาจารึกได้เจริญพระปริตแล้วพระฤกษ์ 12 พระยาโหราธิบดีได้บรรจุที่หลักเมือง เสร็จแล้วก็มีการสมโภช...."
ลักษณะของเสาหลักเมืองที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้สร้างใหม่นั่นเป็นเสาไม้ชัยพฤกษ์ สูง 108 นิ้ว กว้างผ่านศูนย์กลาง 30 นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง 70 นิ้ว ปลายเสาเป็นชัยพฤกษ์ สูง 108 นิ้ว กว้างผ่านศูนย์กลาง 30 นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง 70 นิ้ว ปลายเสาเป็นหัวเม็ดทรงมัณฑ์ บรรจุเทวรูปและดวงซาตากรุงเทพมหานครที่เรียกกันว่า "เจ้าพ่อหลักเมือง" ก็ควรได้แก่ เทวรูปองค์นี้ไม่ใช่ตัวเสาและเทวรูปองค์นี้ก็มีพิธีประกาศเทวดาอัญเชิญเทพเจ้าเข้าประดิษฐานในเทวรูปดังปรากฏในหนังสือประกาศพระราชพิธี เล่ม 1 มีความตอนหนึ่งว่า
"ข้าแต่ท้าวเทวราชสุรารักษ์ อันควรจะเสด็จสถิตนิวาสนานุรักษ์ บนยอดหลักสำหรับพระมหานคร ข้าพระพุทธเจ้า ขออัญเชิญเทพยมหิทธิมเหศวรผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์จงเข้าสิงสู่สำนักในเทวรูปซึ่งประดิษฐานบนยอดบรมมหานครโตรณ อันบบรจุใส่สุพรรณบัตร จารึกดวงพระชันษากรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทรายุทธยาบรมราชธานีนี้ จงช่วยคุ้มครองป้องกันสรรพไพรีราชดัษกร อย่าให้มาบีฆาถึงพระมหานครราชธานี และบุรีรอบขอบเขตขัณฑ์สีมามณฑล ทั่วสกลราชอาณาประวัติ" เนื่องจากพระราชพิธีอัญเชิญเทวดาสิงสถิตในเทวรูปดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้ "เจ้าพ่อหลักเมือง" มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของมหาชนมาก จากบันทึกรับสั่งสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทาน ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล ในหนังสือวงวรรณคดี ฉบับเมษายน 2491 ได้ทรงอธิบายประเพณีการตั้งหลักเมืองไว้ว่า
"หลักเมืองเป็นประเพณีพราหมณ์มีมาแต่อินเดียไทยตั้งหลักเมืองขึ้นตามธรรมเนียมพราหมณ์ ที่จะเกิดหลักเมืองนั้นคงเป็นด้วยประชุมชน ประชุมชนนั้นต่างกัน ที่อยู่เป็นหมู่บ้านก็มี หมู่บ้านหลาย ๆ หมู่รวมเป็นตำบล ตำบลเป็นตำบล ตำบลตั้งขึ้นเป็นอำเภอ อำเภอนั้นเดิมเรียกว่าเมือง เมืองหลายๆ เมืองรวมกันเป็นเมืองใหญ่ เมืองใหญ่หลายๆ เมือง เป็นมหานคร คือ เมืองมหานคร"