ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช
จตุคามรามเทพ เทวดารักษาเมืองนคร
พลตำรวจโทสรรเพชรธรรมมาธิกุล ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวน อธิบายว่าเทวดารักษาเมืองหรือเทพประจำหลักเมือง หรือเจ้าพ่อหลักเมืองนครศรีธรรมราช คือ "จตุคามรามเทพ" หรือ "จันทรภาณุ" ผู้ซึ่ง "ตั้งดิดตั้งฟ้า" สถาปนา "กรุงศรีธรรมโศก" ศูนย์กลางแห่ง ศรีวิชัย
ตามคติพุทธศาสนาฝ่ายมหายานสาขาหนึ่งเชื่อว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนาม ต้องเวียนว่ายตายเกิดท่ามกลางกองทุกข์ การขะข้ามวัฏสงสารก็ด้วยยึดถือปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ หากผู้ใดตั้งปณิธานแน่วแน่ อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือขจัดความทุกข์ยากของมนุษย์ มุ่งบำเพ็ญบารมีหกประการ คือ ทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยบารมี ธยานบารมี(ฌานบารมี) และปัญญาบารมีครบถ้วนแล้ว ผู้นั้นจะบรรลุความเป็นมนุษย์โพธิสัตว์ หรือคฤหโพธิสัตว์ หากพากเพียรสร้างบารมีขั้นสูงอีกสี่ประการ คือ อุปายบารมี ปณิธานบารมี พลบารมี และชญาบารมี ผู้นั้นจะสำเร็จเป็นเทวโพธิสัตว์ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ สามารถบังคับฟ้าดิน สำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นเป็นร่าง แปลงธรรมอันจักช่วยเหลือเกื้อกูลมนุษย์ให้พ้นทุกข์และภัยพิบัติ ก่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข องค์จตุคามรามเทพถึงแล้วซึ่งความแกล้วกล้าสามารถ เจนจบสรรพศาสตร์ทั้งปวง บำเพ็ญบารมีถึงพรหมโพธิสัตว์ จึงทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ จนได้รับนามาภิไธยราชฐานันดรว่า "จันทรภาณ" ผู้มีอำนาจดั่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ ถืออาญาสิทธิ์รูปราหูอมจันทร์ และวัฏจักร 12 นักษัตร เป็นสัญลักษณ์ อันเป็นตราประจำเมืองนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน
องค์จตุคามรามเทพ มีบริวารเป็นทหารกล้าสี่คน ได้แก่พญาชิงชัย พญาหลววงเมือง พญาสุขุม และพญาโหรา เป็นกำลังหลักในหารปราบพวกพราหมณ์ที่ปกครองเมืองตามพรลิงค์อยู่ก่อน เมื่อได้บ้านเมืองแล้วก็ได้สร้างพระบรมธาตุเจดีย์ สถาปนาเมืองสิบสองนักษัตรหรือกรุงศรีธรรมโศก ฝังรากฐานพระพุทธศานาอย่างถาวรจนได้รับการเทิดพระเกียรติว่า "พญาศรีธรรมาโศกราช" ภายหลังท่านเป็นเทวดารักษาเมือง สถิตอยู่ ณ รูปจำหลักที่บานประตูไม่ทั้งสองที่ทางขึ้นลานประทักษิณรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชนั่นเอง ส่วนบริวารทั้งสี่ก็เป็นเทวดารักษาเมืองประจำทิศของเมืองเช่นเดียวกันเมื่อสร้างหลักเมืองแล้วก็ได้อัญเชิญท่านมาสถิต ณ เสาหลักเมืองอันงดงามที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ องค์จตุคามรามเทพและบริวารนี่เองที่ได้มาแสดงความอัศจรรย์ให้ปรากฏด้วยการประทับทรง หรือ "ผ่านร่าง" มาบอกกล่าวให้สร้างหลักเมือง แก้อาถรรพ์ดวงเมืองที่พวกพราหมณ์ได้ฝังไว้จนทำให้บ้านเมืองไม่ปกติสุข ผู้ตนแตกแยกแก่งแย่งชิงดีกันหาความสงบสุขไม่ได้
ส่วนเทวดารักษาเมืองโดยรอบศาลหลักเมืองนั้นพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล อธิบายไว้เป็นสามแนวหรือสามระดับ ได้แก่ แนวแรก (ระดับล่าง) เป็นเทวดารักษาทิศ เทวดารักษาทิศเหนือชื่อท้าวกุเวร เทวดารักษาทิศตะวันออกชื่อ ท้าวธตรฐ เทวดารักษาทิศใต้ชื่อท้าววิรุฬหก เทวดารักษาทิศตะวันตกได้แก่ ท้าววิรุฬปักษ์ แนวที่สอง(ระดับกลาง) เป็นจตุโลกเทพ คือ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระพรหมเมือง และพระบันดาลเมือง แนวที่สาม (ระดับสูง) เป็นไปตามคติพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในจักรวาลของพุทธศานาฝ่ายมหาชน คือพระไวโรจน พุทธเจ้าอยู่ตรงกลาง พระอักโษภยพุทธเจ้าอยู่ด้านตะวันออก พระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่ด้านตะวันออก พระรัตนสมภพพุทธเจ้าอยู่ด้านทิศใต้ และพระอโมฆะสิทธิพุทธเจ้าอยู่ด้านเหนือ
การสักการะเทวดารักษาเมืองนครศรีธรรมราชแบบครบสูตร ใช้เครื่องบูชาอันประกอบด้วย ดอกไม้ 9 สี(หรือ 9 ชนิด หรือ 9 ดอก) ธูป 9 ดอก เทียน 9 เล่ม หมากพลู 9 คำ ยาเส้น 1 หยิบมือ และน้ำจืด 1 แก้ว (หรือ 1 ขวด) รำลึกถึงเทวดารักษาเมืองดังที่กล่าวนามข้างต้น ตั้งจิตอธิษฐานตามใจปรารถนา
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เมืองนครศรีธรรมราชเคยมีชื่อว่า กรุงศรีธรรมโศก หรือกรุงตามพรลิงค์ แต่ตำนานไทยเหนือเรียกว่า เมืองสิริธรรมนคร กรุงศรีธรรมโศกสร้างขึ้นเมื่อใดไม่มีหลักฐานแน่นอน คงทราบข้อความจากคัมภีร์เก่าแก่ของชาวอินเดียสมัยต้นพุทธกาลเรียกว่า เมืองท่าตมะลีบ้าง เมืองท่ากมะลีบ้าง จนกระทั่งในราว พ.ศ.1150 จดหมายเหตุจีนกล่าวถึงเซียะโท้วก๊ก แปลว่าประเทศอินเดีย ซึ่งจักรพรรดิจีนส่งราชทูตเดินทางมาติดต่อทางพระราชไมตรีต่อมาภิกษุจีนผู้คงแก่เรียนมีชื่อว่า หลวงจีนอี้จิง เดินทางไปศึกษาพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย ใน พ.ศ. 1214 ได้แวะมาศึกษาภาษาสันสกฤตที่เมืองโฟชิ จึงทราบว่าบ้านเมืองทั้งหลายในคาบสมุทรภาคใต้ รวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหพันธรัฐที่มีอำนาจทางทะเล หลวงจีนอี้จิงจึงขนานนามว่า "ประเทศทั้ง 10 แห่งทะเลใต้" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "อาณาจักรศรีวิชัย"
นักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันมากในเรื่องที่ตั้งเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยจนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ แต่เมื่อ พ.ศ. 1710 ศิลาจารึกหลักที่ 35 พบที่บ้านดงแม่นางเมือง จังหวัดนครสวรรค์ กล่าวถึงการแผ่ขยายอำนาจของพระเจ้ากรุงศรีธรรมโศก ขึ้นไปครอบครองดินแดนในแถบภาคกลางของประเทศไทย ต่อจากนั้นดินแดนแถบนี้กลับตกเป็นเมืองขึ้นของเขมร ครั้นใน พ.ศ.1773 ศิลาจารึกพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราช กล่าวว่าพระองค์ทรงกอบกู้อิสรภาพกรุงตามพรลิงค์กลับคืนมาได้ ภายหลังจากพรองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว อนุชาพระองค์เสวยราชสมบัติแทน ตำนานกล่าวว่า
"พญาจันทรภานุผู้น้องเป็นพระยาแทน พญาจันทรภาณุเป็นพระยาอยู่ได้ 7 ปี เกิดไข้ยมบนลงทั้งเมือง คนตายวินาศประลัย พญาจันทรภาณุ พญาพงศาสุราหะ อนุชา และมหาเถรสัจจนุเทพกับครอบครัวลงเรือหนีไข้ยมบน ไข้ก็ตามลงเรือพญาและลูกเมียตายสิ้น พระมหาเถาสัจจานุเทพก็ตาย เมืองนครทิ้งร้างเป็นป่ารังโรมอยู่หึงนาน"
หลักฐานเท่าที่หยิบยกขึ้นมาอ้างอิงแสดงให้เห็นว่า กรุงศรีธรรมโศก หรือกรุงตามพรลิงค์ หรือเมืองนครศรีธรรมราช เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยแล้วล่มสลายไปเมื่อครั้งเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นเมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ถูกทิ้งร้างจมอยู่กลางป่าอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งพวกเจ้าไทยลงมาปกครองและฟื้นฟูบูรณาการบ้านเมืองขึ้นใหม่ ดังปรากฏเรื่องราวอยู่ในตำนายพระธาตุนครศรีธรรมราช
ไม่มีใครทราบว่าในการฟื้นฟูบูรณาการกรุงศรีธรรมโศก และพระธาตุเจดีย์ขึ้นใหม่ในครั้งนี้มีเบื้องหลังหรือความเป็นมาแท้จริงอย่างไร คงทราบความจากตำนานแต่เพียงว่าพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงโปรดให้มีตรามาเกณฑ์ผู้คนสร้างเมื่องนครศรีธรรมราชและพระธาตุ จนสำเร็จเสร็จสิ้นในสมัยขุนอินทราชาเป็นเจ้าเมือง ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นพระศรีมหาราชา จนกระทั่งชาวนครศรีธรรมราชผู้หนึ่งสนใจศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ได้ค้นคว้าพบดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราชเก่า จดบันทึกไว้ในสมุดข่อยในหอสมุดแห่งชาติ จึงนำมาตีพิมพ์เผยแพร่ว่า เมืองนครศรีธรรมราชเก่สถาปนาขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่า เดือน 3 ปีเถาะ จุลศักราช 649 ตรงกับ พ.ศ.1830
เมื่อพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช และพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ตรวจสอบรูปดวงชะตาเห็นว่ากรุงศรีธรรมโศกและดินแดนภาคใต้ถูกสาป จึงร่วมกันหาทางแก้ไข รายงานให่คณะกรรมการจัดสร้างสิ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราชทราบ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าควรสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเพื่อล้างมนตราอาถรรพ์แห่งคำสาปใน พ.ศ.2530