ศูนย์พระเครื่องจตุคาม

ตำนาน'เขี้ยวเสือ'แห่งประวัติศาสตร์'เสือหัวแหวน'ตัวเล็กสุด

news/jatukarm

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๑ ผมเข้าสู่วงการพระอย่างเต็มตัว ตั้งแต่ในยุคสมัยนั้น ผมเปิดแผงพระเครื่องที่สนามพระท่าพระจันทร์ ผมเข้ามาอยู่ที่สนามพระท่าพระจันทร์ตั้งแต่ครั้งแรก หลังจากที่มีการยุบสนามพระที่วัดมหาธาตุ สนามพระท่าพระจันทร์ ในปัจจุบันนี้ ก็ยังเป็นสนามแม่เหล็กอีกสนามหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของคนในวงการพระ และชาวต่างชาติมาสู่สนามใหญ่ที่ทุกคนรู้จักกันดี สนามพระท่าพระจันทร์ ถือได้ว่าเป็น "เส้าหลิน" ของคนในวงการพระก็ว่าได้ ซึ่งผลิตผู้มีวิชา มีความรู้ มีความสามารถด้วยกันมากมาย หลายต่อหลายคนที่ยังคงใช้คำว่า "ท่าพระจันทร์" ต่อท้ายชื่อตัวเอง ซึ่งล้วนแต่จบมาจากสำนักนี้ทั้งนั้น ส่วนตัวผมเองได้ปักหลักอยู่ที่สนามแห่งนี้มานานพอสมควร จนมีวันหนึ่ง ได้มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง คือ อาจารย์ปรีชา ดวงวิชัย ได้ชักชวนให้ผมไปเปิดศูนย์พระเครื่องที่ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ประตูน้ำ

ในช่วงนั้น ยังไม่มีสนามพระแห่งหนึ่งแห่งใดได้ทำการเปิดศูนย์พระเครื่องในศูนย์การค้า นับได้ว่าที่ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ประตูน้ำ เป็นศูนย์พระเครื่องที่อยู่บนห้างศูนย์การค้าแห่งแรกของเมืองไทย ผมก็ได้มีห้องเป็นของตัวเอง ซึ่งอยู่ติดกับ เฮียจั๊ว ตลาดพลู ในตอนนั้นก็แทบจะไม่มีคนเดินเช่าซื้อเลย

มีวันหนึ่ง ผมอยู่ที่ร้าน มีเสียงเอะอะโวยวายดังลั่นได้ยินมาถึงห้องของผม ผมจึงออกไปดูว่า มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผมได้เห็นผู้ใหญ่สองท่านใส่ชุดซาฟารี แต่งตัวคล้ายทหารกำลังชี้หน้าด่าคนที่ตู้พระ ผู้นั้นก็คือ "นายโซะ อ่อนนุช"

ผมจึงเข้าไปถามว่า "ท่านครับ มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ" แกก็ผลักอกผม บอกว่า "ลื้อไม่เกี่ยว" ช่วงนั้นมีผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่ง แกโกรธมาก เงื้อมือจะตบนายโซะ อ่อนนุช ผมก็เลยยกมือไหว้ "ขอทีเถิดครับท่าน ถ้าเด็กมันทำผิดอะไร ผมจะให้เด็กมันกราบขอโทษ" แกก็ค่อยเพลาลง และแกก็บอกว่า "พี่เอาเขี้ยวเสือหลวงพ่อปานให้มันดู มันบอกว่า เขี้ยวเสือตัวนี้เก๊ แถมยังเอามือปัดเขี้ยวเสือของพี่กระเด็นตกลงมา ดีนะที่พี่เอามือรับทัน มิฉะนั้นเขี้ยวเสือของพี่ก็คงจะแตกไปแล้ว" ผมได้ฟังดังนั้นจึงจูงมือ โซะ อ่อนนุช ให้มากราบขอโทษท่าน ผมมารู้ภายหลังว่า ท่านเป็นนายทหาร

นี่แหละครับ ท่านเป็นผู้ใหญ่ ชายชาติทหารอย่างแท้จริง เมื่อเด็กทำผิด มาขอโทษ ท่านก็ยังให้อภัย...ผมต้องขอกราบขอบพระคุณท่านไว้นะโอกาสนี้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ ผมยังไม่รู้ว่า ท่านชื่ออะไร มียศตำแหน่งอะไร ตอนนั้นท่านถามผมว่า "ลื้อเป็นใคร อั๊วชอบใจลื้อเป็นลูกผู้ชายจริง"

ผมก็เลยเชิญท่านมานั่งทานกาแฟที่ห้องแล้วจึงขอดู "เขี้ยวเสือ" ตัวนั้น ผมหยิบกล้องขึ้นมาส่อง ผมขนลุกไปทั้งตัว "เสือ" ตัวนั้นตัวเล็กนิดเดียว โตกว่าเม็ดข้าวเปลือกหน่อยเดียว แล้วดูง่ายจริงๆ ผมได้ถามท่านว่า "เสือตัวนี้ท่านได้มาจากไหน" ท่านบอกผมว่า "เสือตัวนี้เป็นของต้นตระกูล เพราะพี่เป็นคนคลองด่าน คุณยายของพี่รับจากมือหลวงพ่อปาน แล้วได้เก็บรักษาสืบทอดต่อกันมา จนถึงพี่ แล้วมันจะเก๊ได้ยังไง ดีนะที่น้องเข้ามาทันเหตุการณ์ ไม่งั้นมันโดนไปแล้ว" ผมเลยกราบขอบพระคุณท่าน นึกว่าอภัยให้เด็กมันเถิด แล้วท่านก็ยิ้ม

ผมเอ่ยปากถามท่านว่า "เสือตัวนี้ท่านหวงมั้ย ผมอยากได้ไว้บูชา" ท่านถามผมว่า "ไอ้น้อง เอ็งชอบเหรอ" ผมตอบท่านว่า "ผมอยากได้ครับ ท่านเปิดราคาไว้เท่าไหร่" ท่านตอบผมว่า "พี่ไม่เคยขายพระกิน แต่พี่ชอบใจเอ็งวะ แล้วแต่เอ็งก็แล้วกันจะให้พี่ เท่าไหร่ก็ได้" คำว่า..แล้วแต่น้อง...มันทำให้ผมลำบากใจจริงๆ ผู้ใหญ่ไม่เรียกร้องราคา แล้วแต่เราจะให้ เราก็ไม่รู้ว่า ในใจของท่านคิดยังไง ท่านตบไหล่ผม "ไอ้น้อง อย่าคิดมาก อั๊วให้ลื้อฟรีก็ยังได้ เพราะอั๊วชอบลื้อวะ"

นนั้น เป็นวันที่เราวัดใจกันระหว่างชายชาติทหารกับเด็กข้างถนนอย่างผม ผมควักสตางค์ให้ท่าน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ท่านถามผมว่า "เขี้ยวเสือของพี่ได้ราคาแพงขนาดนี้เชียวเหรอ" ส่วนตัวผมยังคิดว่า น้อยเกินไปหรือเปล่า ผมไม่คิดแม้แต่นิดเดียว ในเรื่องราคา ว่าจะถูกหรือแพง เพราะผมชอบไม่มีราคาเป็นที่ตั้ง ท่านรับเงินจากผมแล้วบอกผมว่า "คืนนี้พี่จะขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเหล้าน้องก็แล้วกัน"

ทำยังไงได้ละครับ ท่านผู้อ่าน เพราะอยากได้ "เขี้ยวเสือ" ของท่าน จึงไม่กล้าปฏิเสธ บังเอิญที่ตรงข้ามหน้าร้านของผมมีผับอยู่ผับหนึ่ง ผมต้องขออภัยที่เอ่ยชื่อผับนั้น ชื่อผับ "มาโบโร่" คืนวันนั้นผมกับท่านเมากันเละเทะทั้งคืน ดนตรีจะเลิก ผับจะปิด เราก็ไม่ยอม ต่างก็สนุกสนานขึ้นไปร้องรำทำเพลงกันอยู่บนเวที จนแขกที่มานั่งในผับเขาทนฟังไม่ได้ ต่างก็กลับกันไปหมด เหลืออยู่โต๊ะเราโต๊ะเดียว นั่งดื่มกันจนถึงตี ๕ จึงได้เลิกราจากกัน

ก่อนจากกัน แกได้บอกผมว่า "วันหลังพี่จะมาเยี่ยมน้องใหม่ เพราะอีกสองสามวันพี่จะไปชายแดน คืนนี้สนุกจังวะไอ้น้อง พี่ไม่เคยเจอคนแบบเอ็งเลย ถ้ารุ่นเดียวกันพี่จะขอเอ็งเป็นเพื่อน" ผมเลยตอบท่านว่า "ผมขอเป็นน้องก็แล้วกัน"

ตั้งแต่ พ.ศ.นั้นมา จนถึงบัดนี้ ผมยังไม่ได้พบกับท่านอีกเลย หากวาสนามีจริง ท่านได้รับรู้เรื่องราวที่ผมบันทึกเอาไว้นี้ ขอให้ได้มีโอกาสเจอกันอีกสักครั้งหนึ่ง มันเป็นวันที่ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต นี่คือ...ตำนานของ "เขี้ยวเสือแห่งประวัติศาสตร์" ตัวนี้

ขอขอบคุณ คุณสรวิชญ์ จตุจินดา (อ๊อด เสือ) ผู้เป็นเจ้าของเสือตัวนี้ ที่ได้กรุณานำภาพ "เสือหัวแหวน" ตัวเล็กที่สุด มาลงในหนังสือเล่มนี้ และเป็นตัวประวัติศาสตร์ ต้องขอขอบคุณอีกครั้งครับ

ด้วยรัก...จาก...พยัพ คำพันธุ์

เรื่องและภาพจากหนังสือ "ตามรอยพุทธานุภาพ จากอดีตสู่ปัจจุบัน" โดย พยัพ คำพันธุ์)

06 มี.ค. 2557

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

นสพ.คมชัดลึก

Warning! / คำเตือน

ในการเสนอความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับข่าว ควรใช้ถ้อยคำที่สุภาพและไม่ส่อเสียดหรือทำผู้อื่นเสียหาย ทั้งนี้หากตรวจสอบแล้วเห็นว่าข้อคิดเห็นใดไม่เหมาะสมทาง www.jatukarm.com จะทำการลบความคิดเห็นนั้นๆ ทันที

ทุก ๆ ความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เข้าเยี่ยมชมเข้ามาร่วมแสดงออกในเว็บไซต์และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ ทางเว็บไซด์จตุคาม ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ ทางทีมงานจะไม่รับผิดชอบต่อความคิดเห็นใดๆ ที่ไม่เหมาะสม หากท่านพบเห็นความคิดเห็นใดที่ขัดต่อกฏหมายและศีลธรรม กรุณาแจ้งที่ support@jatukarm.com หรือที่ ติดต่อผู้ดูแลระบบ เพื่อให้ทีมงานทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบ

ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่เหมาะสมโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล้วงหน้า

ห้ามประกาศขายหรือให้เช่าวัตถุมงคลทุกและสินค้าทุกชนิดในข่าวสาร หากตรวจพบจะทำการลบโดยทันทีและผู้ประกาศจะถูกลงโทษตามกฏ

กรุณา Login ก่อนแสดงความคิดเห็น

ไม่มีผู้แสดงความคิดเห็น